กายธรรมครั้งที่ 1
วันนี้เป็นวันแรกของการนั่งสมาธิ แต่อาจารย์บอกว่า เป็นการนั่งสมาธิแบบการจินตนาการถึงภาพต่างๆ อาจารย์บอกว่าให้นั่งท่าที่คิดว่าสบายที่สุด แต่ไม่ให้มอบไปกับโต๊ะ เพราะจะทำให้เราหลับและไม่เกิดสมาธิ อาจารย์ให้นั่งหลับตา แล้วให้นึกถึงดวงกลมใสสีขาว ให้เรานึกว่ามันอยู่ในท้องของเรา แต่ก็ยังนึกไม่ได้ เลยนึกถึงซาลาเปาลูกโตๆสีขาว ถ้านึกแบบนี้ท่าจะง่ายกว่า เพราะเป็นของกินที่ยังไงก็ต้องเข้ามาอยู่ในท้อง พอนั่งแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจารย์ก็จะถามว่า ใครเห็นดวงใสแล้วบ้าง ถ้าเห็นให้ยกมือขึ้น แต่ก็ไม่ได้ยกมือเพราะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในความมืดเลย แม้แต่ซาลาเปาก็ยังไม่เห็นสักลูกเดียว ก็งงอยู่ว่าให้นั่งหลับตามันจะมาเห็นอะไรกลมๆใสๆขาวๆได้ยังไง
สรุปแล้วคือ ครั้งแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากอาการง่วงๆงงๆ
กายธรรมครั้งที่ 2
วันนี้เป็นครั้งที่สองของการนั่งสมาธิแบบครั้งที่แล้ว คืออาจารย์ก็บอกให้นั่งในท่าที่สบาย และทำจิตให้นิ่ง เพื่อที่จะได้นึกถึงดวงใส ก็พยายามที่จะทำจิตให้นิ่งเพื่อที่จะได้เห็นซาลาเปาดวงใสในแบบของตัวเอง เพราะครั้งที่แล้วเห็นเพื่อนในห้องเขาเห็นกัน ก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่บังเกิดผลอะไร ยังไม่มีดวงใสเกิดขึ้นในความมืดของดวงตา อาจารย์จะถามทั้งหมดสามครั้ง ว่าใครบ้างที่เห็นดวงใสแล้ว ครั้งแรกก็ยังไม่เห็น ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวสักพักก็คงจะเห็น พอครั้งที่สองก็ยังไม่เห็นอีก คราวนี้จิตก็เลยหลุดไปเลย เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดแทน ก็พูดกับตัวเองว่าอาจารย์จะพูดอะไรนักหนาพูดแบบเดิมๆ พูดเสียงก็ดัง แล้วเมื่อไหร่จิตจะนิ่งแล้วได้เห็นกับเพื่อนเขาสักที พอหงุดหงิด ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ไม่มีการนึกถึงดวงใส นึกแค่ว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะเลิกพูดแล้วให้ลืมตาสักที
สรุปคือ ครั้งนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากความหงุดหงิดที่เข้ามาครอบงำจิตของตัวเองให้เอนเอียงไปทางอื่น
กายธรรมครั้งที่ 3
เป็นครั้งที่สามกับสมาธิดวงใส วันนี้ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะนั่งเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้สึกว่า นั่งไปก็ไม่เคยเจออะไรสักที ก็นั่งหลับตาธรรมดา ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่อาจารย์พูดออกมา นึกแค่ว่ามันไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงหายใจของตัวเอง และนึกอีกว่าห้องนี้มีแค่เราคนเดียว มันแปลกมากกับการนึกคิดแบบนี้ มันทำให้จิตตัวเองนิ่งมากถึงมากที่สุด คือเหมือนว่าถ้าเราไม่สนใจในสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เราพยายามนึกคิดและอยากเห็นก็พร้อมปรากฏ มันมีความรู้สึกว่าตัวจะล้มลง มันเบาเหมือนลอยได้ แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร นอกจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าตัวเองจะล้มจากโต๊ะที่นั่งอยู่ แล้ววันนี้ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์พูดอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าอาจารย์ถามอะไรบ้าง เพราะไม่ได้สนใจในรอบข้าง
สรุปคือ ไม่มีดวงใสเกิดขึ้นแต่มีความรู้สึกว่ามันนิ่ง และเบามาก ครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าหากไม่สนใจและไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง ก็จะทำให้จิตเรานิ่งได้ถึงแม้จะไม่เห็นดวงใสก็ตาม
กายธรรมครั้งที่ 4
กลับมาอีกครั้งกับการนั่งสมาธิ แต่ต้องบอกก่อนว่าครั้งนี้มาเรียนสาย พอมาถึงห้องเรียนปั๊บ อาจารย์ก็พานั่งสมาธิเลย ซึ่งจิตยังไม่ละจากความเหนื่อยจากการเดินขึ้นบันไดมาห้องเรียน ก็นั่งหลับตาแบบขอไปที นั่งไปโดยที่มันยังไม่หายเหนื่อย ก็เลยเฉยๆกับการนั่งครั้งนี้ แต่ในหัวก็คิดว่า อยากเห็นบ้าง ถึงจะเป็นดวงใสที่ลางๆมาแป๊บเดียวก็ตาม แต่ก็ไม่บังเกิดผล อาจารย์ถามสามรอบ ก็ไม่มีสักรอบเลยที่ได้ยกมือแบบเพื่อนคนอื่นเขา อาจารย์บอกว่าให้นึกว่าใจของเราเป็นเข็มเย็บผ้า แล้วให้ส่งไปกลางดวงใส แต่ก็ไม่รู้จะส่งไปยังไงเพราะดวงใสยังไม่เกิดให้เห็นเลย แต่ก็นึกขำๆในใจว่า ถ้าใจเป็นเข็มเย็บผ้า แล้วส่งไปกลางดวงใส ถ้าเข็มมันจิ้มดวงใสแตก แล้วทีนี้จะเหลือดวงใสให้เห็นได้ยังไง
สรุปกับครั้งนี้คือ ดวงใสก็ยังไม่เกิด แต่ก็อยากเห็นสักครั้ง
กายธรรมครั้งที่ 5
ครั้งนี้อาจารย์เอาอะไรมาให้นึกถึงอีกแล้ว อาจารย์ให้นึกถึงพระแล้วพูดคุยกับท่าน งานหินกว่าการเห็นดวงใสอีก ไม่รู้จะนึกยังไง แล้วถ้าเห็นจะคุยกับท่านได้จริงหรือ ท่านจะตอบเรามาจริงหรือเปล่า ก็เลยลองนึกให้เห็นพระท่าน แต่ก็ยากอยู่มากนัก เพราะจิตไม่นิ่งพอ และบารมีคงไม่ถึงที่จะเห็นท่านแล้วสื่อสารกับท่านได้ อาจารย์บอกว่าอยากถามอะไรท่านก็ถาม เช่น จะเรียนจบไหม อนาคตจะเป็นอย่างไร จะมีงานทำหรือเปล่า แต่คำถามเหล่านั้นก็ไม่ได้ออกจากจิตของตัวเองเลย เพราะพระท่านไม่ปรากฏให้เห็น สงสัยจะเป็นคนบาป เพราะขนาดพระท่านยังไม่อยากลงมาปรากฏให้เห็น
สรุปแล้วครั้งนี้ ก็ไม่เห็นทั้งดวงใส และไม่เห็นแม้แต่องค์พระท่านเลย อยากจะสื่อสารกับท่านได้บ้าง จะถามท่านว่า ดร.มนัส ให้พวกหนูนั่งสมาธิแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันหนอท่าน
กายธรรมครั้งที่ 6
วันนี้ใครๆก็รู้กันว่าต้องนำเอาบทความให้อาจารย์ตรวจดู แล้วยังไงล่ะ ก็สมาธิไม่เกิดไงค๊ะ นั่งไปเถอะ พูดไปเถอะ จิตไม่นิ่งพอที่จะนึกเห็นอะไรได้ นึกอย่างเดียวว่า ส่งงานแล้วจะเจออะไรบ้าง อาจารย์จะว่าอะไรบ้าง ต้องเถียงอะไรกับอาจารย์บ้าง วันนี้อยากเห็นองค์พระท่าน เพราะอยากถามท่านว่า ดร.มนัสจะทำอะไรกับบทความของหนูบ้างท่าน แต่ก็ไม่มีจิตใจที่จะมานั่งนึกถึงท่านหรอกค่ะ เพราะอะไรก็ไม่แย่เท่ากับการที่พวกหนูต้องนำบทความส่งอาจารย์ หนูรู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง
สรุปแล้ววันนี้ ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ เห็นแต่หน้าอาจารย์ตอนตรวจบทความ เห็นว่าหน้าอาจารย์ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ต้องว่าแบบนั้นแบบนี้
กายธรรมครั้งที่ 7
วันนี้นั่งสมาธิมาราธอน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะใช้เวลาไป 28 นาทีตามที่อาจารย์ได้บอก มันเป็นการนั่งสมาธิที่ยาวนานเหลือเกิน มันนานเกินไปสำหรับจิตของตัวเองที่มันจะอยู่นิ่งเฉยได้ แล้ววันนี้อาจารย์ก็นำเสนอสิ่งแปลกใหม่มาให้นึกให้คิดเยอะมาก มากจนไม่รู้ว่าจะนึกอะไรก่อนดี จะดวงใสก่อน หรือจะองค์พระท่าน หรือจะเทวดาอะไรต่างๆก่อนดี ทุกอย่างพันกันไปหมดจนทำให้รู้สึกว่า จิตต้องหลุดแน่นอน ร่างกายขยับไปมาอยู่ตลอด มันรู้สึกอึดอัด มันไม่สบายเหมือนครั้งก่อนๆ อาจจะเป็นเพราะครั้งนี้ใช้เวลาในการทำสมาธินานไปหน่อย เลยทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามันเบื่อ แต่นั่งนานก็ทำให้เราเกิดความพยายามที่จะดึงจิตให้นิ่งได้หลายครั้ง แต่ก็ไม่นิ่งสักครั้งถึงจะพยายามก็ตาม พยายามบอกกับตัวเองว่า ต้องเห็นให้ได้สักครั้ง เพราะเหลืออีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็นั่งไปเรื่อยๆ เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องทำเหมือนครั้งแรกๆ ที่นึกว่ามันไม่มีอะไรในห้องนี้ ให้รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว ก็ทำอย่างที่คิดได้ ก็นั่งไปเรื่อยๆ ตัวเริ่มเบา ทุกอย่างนิ่ง รู้สึกจะวูบ เหมือนจะกลิ้งลงจากโต๊ะ มันแปลกมากที่อยู่ดีๆก็มีเม็ดใสๆเต็มในความมืดไปหมด แต่มันไม่ใช่ดวง เพราะถ้าดวงคงต้องเป็นดวงที่ใหญ่และไม่เป็นเม็ดเล็กๆเหมือนดาวที่อยู่บนท้องฟ้าแบบนี้ ก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่ดีใจที่ได้เห็น เพราะที่ผ่านมา แม้แต่จุดเล็กจุดน้อยก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็นเลย
สรุปว่าครั้งนี้หนูเห็นก็แล้วกัน เพราะมันแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านๆมา
กายธรรมครั้งที่ 8
ครั้งสุดท้ายของการนั่งสมาธิ เพื่อนบางคนอาจจะแบบว่า ครั้งสุดท้ายแล้ว ตั้งใจทำดีกว่าเพื่อที่จะได้เห็นดวงใส แต่สำหรับหนูมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะหนูจำได้ว่าหนูได้เห็นไปแล้วเมื่อครั้งที่แล้ว หนูเลยนั่งเล่นๆ ไม่ได้สนใจอะไร เพราะแค่หนูได้เห็นครั้งเดียว มันก็เท่ากับว่าหนูได้เห็นมาทุกครั้ง เพราะครั้งที่แล้วหนูเห็นเป็นเม็ดหลายๆเม็ดเหมือนดวงดาว มันมากกว่าดวงใสในแต่ละครั้งของทุกคนแน่นอน เพราะหนูคิดแบบนั้น วันนี้ก็เลยส่งท้ายด้วยการ นั่งหลับตาแบบหลับไปเลยดีกว่า แล้วครั้งนี้เสียงของอาจารย์มันเหมือนเสียงสวดมนต์อะไรสักอย่าง เพราะอาจารย์พูดเร็วมากๆ มันยิ่งทำให้หนูเคลิ้มหลับได้เร็วขึ้น
สรุปแล้วครั้งสุดท้าย ดวงใสไม่บังเกิด เพราะหนูคิดแบบที่หนูได้บอกอาจารย์ไป
แต่สุดท้ายนี้ หนูขอบคุณอาจารย์มากๆที่สอนให้พวกหนูได้นั่งสมาธิแบบที่ไม่เคยนั่งมาก่อน ถึงมันจะยากที่จะได้เห็นดวงใส แต่อย่างน้อยๆมันก็เป็นการฝึกสมาธิในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หนูคิดว่าคงไม่มีใครมาสอนให้ใครสักคน นั่งสมาธิแล้วดวงใสปรากฏขึ้นมาได้ หนูได้ดูยูทูบที่อาจารย์ไปสอนเด็กพิการทางสายตา หนูแอบอิจฉาเด็กกลุ่มนั้น ขนาดตาเขามองไม่เห็นในสิ่งที่คนตาดีเห็น แต่เขากลับมองเห็นในสิ่งที่คนตาดีไม่เคยมองเห็น และนับว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่คนพิการทางสายตาได้มองเห็นสิ่งๆนั้น เขาคงมีบุญบารมีมากกว่าคนตาปกติทั่วไป