ในภาคเรียนที่ 2/2554 ผมสอนนักศึกษาจำนวน 2 ห้องคือ นักศึกษาสาขาวิชาการเงิน ชั้นปีที่ 2/2554 และนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด ชั้นปีที่ 1/2554
ผมขอความร่วมมือจากนักศึกษาให้ฝึกกายธรรมจินตภาพจำนวน 8 ครั้ง เมื่อผมสอนไปได้ 6 ครั้งแล้ว เหลืออีก 2 ครั้งจึงสอนวิชาขอรัตนะเจ็ดให้กับนักศึกษา
เนื่องจากนักศึกษาทุกคนนับถือศาสนาพุทธ จึงสามารถสอนวิชาขอรัตนะเจ็ดให้กับนักศึกษาได้ สอนการสอนกายธรรมจินตภาพนั้น เพื่อให้เป็นการสอนที่สากล ศาสนาไหนก็ควรเรียนได้
ครั้งที่๑ วันพุธที่ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
การนั่งสมาธิในห้องเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ของ ดร.มนัส โกมลฑา เป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าและกลุ่มของพวกเราและนักศึกษาในห้อง FN.๒/๔ เพราะว่าไม่มีอาจารย์ท่านใดนำหลักการนั่งสมาธิในชั้นเรียนมาใช้กับพวกเราสักครั้ง และนักศึกษาทุกคนในห้อง FN.๒/๔ คงคิดเหมือนข้าพเจ้าว่าการนั่งสมาธินั่งไปเพื่อสิ่งใด อย่างไร ได้อะไร
แต่ก่อนจะทำการนั่งสมาธิ ดร.มนัสได้บอกก่อนว่าการนั่งสมาธิ ทำให้สมองปรอดโปร่ง เบาสบาย ร่างกายมีความรู้สึกเบา จิตใจสงบร่มเย็น มีสติรู้สึกตัวตลอดเวลาทำให้เป็นคนคนมีบุคลิกที่ดี ดร.มนัส จะพูดอย่างนี้ทุกครั้งก่อนนั่งสมาธิ
หลักการนั่งสมาธิของ ดร.มนัส คือ นั่งตัวตรง ไม่คิดอะไรสิ่งใดอยู่ในสมอง ปล่อยวางทุกสิ่งที่ทำที่คิด กำหนดลมหายใจเข้าออก ผู้ชายหายใจทางด้านขวา ผู้หญิงหายใจทางด้านซ้าย นึกถึงดวงแก้วใสๆ ชัดไม่ชัดไม่เป็นไร ไม่ควรพยายามนึกใช้จินตนาการ ถ้าคิดเป็นอย่างอื่นให้พักสักครู่หนึ่ง แล้วกลับมานึกถึงดวงแก้วใสๆ
ถ้าใครได้แล้วเอาไว้ที่ดวงตาที่ ๓ และนำดวงแก้วใสๆ มาไว้เหนือศูนย์กลางของร่างกาย คือ เหนือสะดือ ขยายใหญ่ขึ้น นำเข็มหมุดแทงตรงกลางดวงแก้วใสๆ หมุนไปทางขวา
เว้นระยะเวลาสักพักหนึ่งถ้าเห็นองค์พระพูดคุยกับท่านหรือถ้าท่านไม่โต้ตอบให้ถามและให้ท่านพยักหน้าหรือตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ อาจารย์จะทำแบบนี้ ๓ รอบด้วยกัน
ปรากฏว่าในรอบที่ ๑ และ ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าไม่พบดวงแก้วใสๆ พบแต่ทุ่งหญ้าสีเขียว ลมพัดเย็นๆ ท้องฟ้ายามราตรี ล้อมรอบด้วยดวงดาว แต่ในรอบที่ ๓ ข้าพเจ้าพบแต่ดวงแก้วใส ๆ แต่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร แต่สามารถสัมผัสถึงความโปร่ง เบาร่างกาย สบายตัว
ครั้งที่ ๒ วันพุธ ที่ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เป็นครั้งที่ ๒ ที่ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิ ดร.มนัส พูดแบบเดิมตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ในการนั่งสมาธิในรอบที่ ๑ ของครั้งที่ ๒ ยังไม่พบดวงแก้วใสๆ แต่ในรอบที่ ๒ ข้าพเจ้าได้พบดวงแก้วใสๆ ขนาดใหญ่ชัดเจนมาก
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุผลใดหรืออาจเป็นเพราะวันนี้ข้าพเจ้าได้ตื่นมาสวดมนต์ตอนตีห้า และทำตามขั้นตอนของ ดร.มนัส ทุกประการ และในช่วงสนทนากับองค์พระมีการสนทนาเรื่องราวต่างๆ ที่อยากทราบ
ครั้งที่ ๓ วันพุธที่ ๑๔ เดือน ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔
การนั่งสมาธิในครั้งที่ ๓ สามารถพบดวงแก้วใสๆ ได้ในรอบที่ ๑ ทันที และปฏิบัติตามขั้นตอนของ ดร. มนัส ทุกประการ แต่การนั่งครั้งนี้คล้ายตัวเหมือนจะตกจากเก้าอี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้มีความง่วงนอนแม้แต่น้อยแต่ ดร.มนัส ได้บอกว่าไม่เป็นอะไร มันแค่เป็นความรู้สึก แต่ทำให้ข้าพเจ้ามีร่างกายเบาสบาย มีสติมากขึ้นทุกครั้ง
ครั้งที่ ๔ วันพุธที่ ๔ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
การนั่งสมาธิในครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือ พบดวงแก้วใสๆ ตั้งแต่รอบที่ 1 ของการนั่งสมาธิครั้งที่ ๔ ร่างกายโปร่ง เบาสบาย และมีการสนทนาธรรมกับองค์พระ ดวงแก้วใส ๆ ขยายใหญ่มากกว่าทุกครั้ง สว่างสดใสมากกว่าทุกครั้ง
ครั้งที่ ๕ วันพุธที่ ๒๖ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
ในการนั่งสมาธิครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น พัฒนามากกว่าเดิมคือการสนทนากับองค์พระมากกว่าเดิม จากเดิมพูดไม่กี่ประโยค แต่ครั้งนี้ได้พูดคุยกันหลายประโยค
ได้มีการถามปัญหาและปรึกษาแก้ไขในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องปัญหาของการเรียน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว โชคลาภ การงานในอนาคต และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ครั้งที่ ๖ วันพุธ ที่ ๑ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕
ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกสุขกายสุขใจ จิตใจโปร่งสบาย ร่างกายรู้สึกเบาทำให้เห็นดวงแก้วชัดยิ่งกว่าชัดใสวิ๊งๆ ทำให้วันนั้นของข้าพเจ้าเบิกบาน อย่างบอกไม่ถูก มันดีจริงๆการนั่งสมาธิ
นั่งสมาธิครั้งที่ ๗ วันพุธ ที่ ๘ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕
การนั่งสมาธิในครั้งนี้ การนั่งโดยทั่วไปก็เหมือนเดิมแต่ช่วงหลังๆ ดร.มนัส ได้พูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรเบื้องกลางมี ๒ วิชาคือ การขอรัตนะ๗ และการตรวจดูจักรพรรดิในเรือน มีดังนี้
การนั่งสมาธิในครั้งนี้ การนั่งโดยทั่วไปก็เหมือนเดิมแต่ช่วงหลังๆ ดร.มนัส ได้พูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรเบื้องกลางมี ๒ วิชาคือ การขอรัตนะ๗ และการตรวจดูจักรพรรดิในเรือน มีดังนี้
การขอรัตนะ๗ คือจักรพรรดิ คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่กายละเอียดใส ทรงเครื่องคล้ายรามเกียรติ์ ดังนี้อาจารย์ได้กล่าวไว้ในบล็อกแต่ข้าพเจ้าไม่เห็นจักรพรรดิ
ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปใสๆๆแต่ไม่ใช่สมัยปัจจุบันราวกับอยู่ในสมัยอยุธยา มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีขนาดใหญ่มากๆ และได้ทำการสนทนากันอยู่พอสมควรในเรื่องต่างๆ ที่ข้าพเจ้าต้องการทราบ รูปร่างของพระพุทธรูปมีดังนี้
ส่วนในเรื่องรัตนะ๗ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว แก้วมณี ขุนพลแก้ว ขุนพลคลัง ที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ในห้องเรียนตอนฝึกจินตภาพครั้งที่๗ ปรากฏว่าข้าพเจ้าพบแค่ ๕ อย่างเท่านั้น มีดังนี้
นั่งสมาธิครั้งที่ ๘ วันพุธ ที่ ๑๕ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕
ในการนั่งครั้งสุดท้ายก็เหมือนกับครั้งที่๗ คือ รัตนะ๗ แต่มีการสนทนากันในครั้งที่ 8 ได้ถามนางแก้วเกี่ยวกับการเรียนและเรื่องความรักว่าคนรักเก่าจะกลับมาหรือไม่
นางแก้วไดตอบกลับมาว่าได้กลับมาอย่างแน่นอนโดยไม่มีมือที่ ๓ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีและเบาจิตใจไปมากกว่าเดิม
สรุปการนั่งจินตภาพ
ตั้งแต่ครั้งที่ ๑-๘ พบว่าข้าพเจ้ามีพัฒนาการทางด้านความคิดอารมณ์ สติมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและที่สำคัญจิตใจยังสงบอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น